เคยคิดกันไหมคะว่า ในแต่ละวันเราใช้ชีวิตคุ้มค่าหรือเปล่า เวลาเดินทางไปที่ทำงานเกิน 3 – 4 ชั่วโมงต่อวันไหม แล้วตอนกลับมา ต้องรีบเข้านอน เพราะเหนื่อยมาทั้งวันจนอดได้สังสรรค์กับเพื่อน ออกกำลังกายให้สุขภาพแข็งแรง หรือเข้านอนโดยไม่ต้องฝันร้ายถึงเรื่องที่ค้างคาใจอยู่ เรื่องราวเหล่านี้จะหายไป แค่เราลองปรับมุมมองค่ะ

1. เปลี่ยนลบเป็นบวก
โอ๊ย รถก็ติด ร้อนก็ร้อน งานก็เยอะ ทำไมมันแย่ไปซะหมด! ถ้าเราจมอยู่กับความคิดขั้วลบแบบนี้ มองไปทางไหนก็คงมีแต่เรื่องขัดใจตลอดเวลา แถมยังทำให้เสียสุขภาพจิตอีก ลองปรับมุมมองใหม่ ๆ ดูไหม ถ้ารถติดก็คิดเสียว่า ติดแป่บเดียว ฟังเพลงเพลงเดียวก็ได้ไปต่อแล้ว หรืออากาศร้อนแบบนี้ จะหยิบแว่นตากันแดดคู่ใจมาใส่ก็คงไม่มีใครว่า หรือแม้แต่กองงานที่วางเรียบบนโต๊ะ นั่นก็คือสิ่งที่จะพิสูจน์ความสามารถของคุณว่า คุณทำงานเป็น

2. มีเพื่อนคู่ใจ
คนเราอาจจะมีบางครั้งบางคราที่อยากอยู่คนเดียว แต่หลาย ๆ ครั้ง ถ้ามีเพื่อนสักคนที่รับฟังสิ่งที่เราพูดก็คงจะดีไม่น้อย เพื่อนคนนั้นอาจจะเป็นสมุดไดอารี่ที่เราระบายความในใจที่ไม่กล้าบอกใครให้รู้ หรือน้องหมาแมวตัวน้อยที่คอยมาคลอเคลียอยู่เป็นเพื่อน กระดิกหูกระดิกหางนั่งฟังราวกับเข้าใจภาษาของเรา หรือเพื่อนซี้สมัยมัธยมที่รู้จักกันมาเกือบครึ่งชีวิต เป็นทั้งศิราณี ที่ปรึกษา โค้ชส่วนตัว หรือคนในครอบครัวที่เราอยากอัปเดตเรื่องดี ๆ ก่อนใคร แต่ถ้าวันไหนไม่สบายใจ แค่กอดสักครั้งก็ทำให้หายดี

3. มีความสุขกับสิ่งรอบด้าน
เคยคิดไหมคะว่า เราโชคดีแค่ไหนที่มีนั่นนู่นนี่ จริงอยู่เราอาจจะไม่ได้มีรถซูเปอร์คาร์ที่ขับไปไหนมาไหนก็มีแต่คนมอง แต่เราก็มีรถส่วนตัวที่เก็บออมจากน้ำพักน้ำแรงของเรา ข้าวกลางวันเราอาจจะเป็นอะไรที่ง่าย ๆ แต่ก็อร่อย อิ่มท้อง มีแรงลุยงานต่อตลอดบ่ายถึงเย็น แม้แต่ของเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็อาจทำให้เราสบายใจขึ้นได้อย่างไม่รู้ตัว ยกตัวอย่างแม็กซ์เย็บกระดาษอันเดียวหรือแฟ้มหนึ่งอัน ลองนึกดูซิว่า ตอนที่มีเอกสารเยอะ ๆ แล้วเราต้องเก็บเนี่ย ถ้าไม่มีขึ้นมาคงจัดสรรยุ่งยากน่าดู ลองสังเกตกันดูค่ะว่า สิ่งที่เรามีอยู่รอบ ๆ ตัวนี้ทำให้ชีวิตดีขึ้นแค่ไหน

4. ภูมิใจในตัวตนของเรา 
ภาพลักษณ์อาจดึงดูดสายตาคนอื่นมาที่เราในครั้งแรก แต่ครั้งต่อ ๆ ไป สิ่งที่เขาจะได้รู้จัก คือ ตัวตนของเราผ่านการพูด กริยา ความคิด ดังนั้น จงมั่นใจที่จะเป็นตัวของตัวเองนะคะ อย่าไปกังวลว่า เราไม่หล่อ ไม่สวย หน้าตาธรรมดา เพราะข้างในเรายังมีอะไรที่สามารถสร้างความประทับใจให้แก่คนอื่น ๆ ได้อีกเยอะ แล้วอีกอย่างสมัยนี้ ไม่มีใครตัดสินคนกันจากภายนอกแล้วหรอกค่ะ อย่างที่สำนวนภาษาอังกฤษกล่าวว่า “You can’t judge the book by its cover” ไงล่ะ

เคล็ดลับดี ๆ 4 ข้อดีนี้ เพื่อน ๆ ลองนำไปปรับใช้กันนะคะ รับรองว่า จะได้ทัศนคติดี ๆ กลับมาแน่นอน สำหรับคนที่ชอบแนวทางการปรับความคิด เรามีที่อยู่อาศัยที่เหมากับคุณมานำเสนอค่ะ  นั่นก็คือ เมทริส พระราม 9 – รามคำแหง คอนโดไฮไรส์ 33 ชั้นที่ให้คุณใช้ชีวิตสลับได้ทุกไลฟ์สไตล์คนเมือง ใกล้ทั้งรถไฟฟ้า BTS และรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT  หรือจะเดินทางด้วยรถก็สะดวกสบาย เพราะเข้าออกได้ทั้งสองถนนหลัก ได้แก่ ถนนพระราม 9 และถนนรามคำแหง วันไหนอยากเข้าเมืองเจอเพื่อน ๆ ที่ทองหล่อ ก็ใช้เวลาแค่ 10 – 20 นาทีเท่านั้น

ด้วยทำเลที่ตั้ง ถ้าวันไหนอยากชอปของเข้าห้องแบบจัดเต็ม ก็แวะฟู๊ดแลนด์ที่ที่เปิด 24 ชั่วโมง บิ๊กซี โฮมโปรได้ หรือถ้าอยากกินข้าว ดูหนังข้างนอก ก็มีเดอะมอลล์ เดอะ ไนน์ในละแวก สำหรับคอกีฬา สายคอนเสิร์ตต้องยิ้มแน่ ๆ เพราะเดินทางไปราชมังคลากีฬาสถานได้ไม่ยาก หรือถ้าวันไหนไม่สบายอยากหาหมอก็ไปหาได้ที่โรงพยาบาลใกล้ ๆ อย่าง โรงพยาบาลสมิติเวชศรีนครินทร์ค่ะ

ถึงแม้จะอยู่ใจกลางเมือง แต่ก็มีพื้นที่สีเขียวให้คนเมืองได้พักผ่อนหย่อนใจเวลากลับถึงห้อง หรือช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือถ้าใครแอคทีฟหน่อย ที่นี่มีสระว่ายน้ำ จากุชชี่ และฟิตเนสให้ฟิตร่างกายให้แข็งแรง แต่ถ้าคน Hard Working คนไหนอยากทำงานต่อให้เรียบร้อย ที่นี่ก็มี Co-Working Space พร้อม Sound Dome ให้เราฟังเพลงที่ชอบได้อย่างบาย ๆ โดยไม่ต้องกังวลว่า เพลงโปรดของเราจะไปกวนใจใครหรือเปล่า ส่วนกลางที่นี่ใจถึงมาก เพราะมีถึง 3 ชั้นเลยทีเดียว

ตกแต่งด้วยเส้นสายแนวตั้งที่เรียบง่าย แต่ให้ความรู้ของความแข็งแรง เมื่อผนวกเข้ากับรูปทรงเลขาคณิตต่าง ๆ และการใช้โทนสียุค Mid-Century Modern ก็ทำให้คอนโดนี้มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร ที่นี่เหมาะสำหรับคนอยู่เดียว อยู่เป็นคู่ หรือเป็นครอบครัวก็ได้ เพราะมีห้องพักให้เลือกถึงสามแบบตั้งแต่ 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำขนาด30 ตร.ม. ไปจนถึง 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำขนาด 59 ตร.ม. สำหรับคนที่มีน้องสุนัขหมาแมว ก็ไม่ต้องห่วงว่า จะต้องแยกจากกัน เพราะที่นี่อนุญาตให้เลี้ยงได้ และยังมีสวนดาดฟ้าที่พาเจ้าตูบไปเดินเล่นได้ด้วย